ตรวจสอบทบทวน (Self-Test)
1. จงนำเสนอแนวคิดต่อพื้นฐานการพัฒนาหลักสูตรด้านต่าง ๆ ด้านใดมีความสำคัญและความจำเป็นมากที่สุดหรือน้อยที่สุด
ตอบ 1. ข้อมูลพื้นฐานทางด้านสังคมและวัฒนธรรม
1. จงนำเสนอแนวคิดต่อพื้นฐานการพัฒนาหลักสูตรด้านต่าง ๆ ด้านใดมีความสำคัญและความจำเป็นมากที่สุดหรือน้อยที่สุด
ตอบ 1. ข้อมูลพื้นฐานทางด้านสังคมและวัฒนธรรม
อนุรักษ์และถ่ายทอดวัฒนธรรมของสังคมไปสู่คนรุ่นหลังและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของสังคมให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่าง
ๆ โดยหน้าที่ดังกล่าวการศึกษาจะช่วยควบคุมการเปลี่ยนแปลงสังคมให้ไปในทิศทางที่พึงปรารถนา
เพราะฉะนั้นหลักสูตรที่จะนำไปสอนอนุชนเหล่านั้นจึงต้องมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสังคมอย่างแยกไม่ออก
และโดยธรรมชาติของสังคมและวัฒนธรรมมักมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ดังนั้น
การพัฒนาหลักสูตรจึงจำเป็นต้องคำนึงถึงข้อมูลทางสังคมและวัฒนธรรมที่เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ จึงจะทำให้หลักสูตรมีความสอดคล้องกับสภาพสังคมปัจจุบัน
สามารถแก้ปัญหาและตอบสนองความต้องการสังคมได้
สามารถจำแนกข้อมูลให้ชัดเจนได้
ดังนี้
1.1 โครงสร้างของสังคม โครงสร้างไทยแบ่งออกเป็น2ลกัษณะ
คอื ลกัษณะสังคมชนบทหรือสังคมเกษตรกรรม และสังคมเมือง หรือสังคมอุตสาหกรรม
ในปัจจุบันความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาก สังคม
อุตสาหกรรมมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นแต่ถึงอย่างไรก็ตามสังคมส่วนใหญ่ของประเทศก็ยังมีสภาพเป็นสังคม
เกษตรกรรมอยู่
1.2 ค่านิยมในสังคม ค่านิยม หมายถึง สิ่งที่คนในสังคมเดียวกันมองเห็นว่ามีคุณค่าเป็นที่ยอมรับหรือเป็นที่ปรารถนาของคนทั่วไปในสังคมนั้น
ๆ
1.3 ธรรมชาติของคนไทยในสังคม ธรรมชาติของคนไทยในแต่ละสังคมย่อมแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นฐานทางวัฒนธรรมและค่านิยมนั้น ๆ ทำให้คนไทยส่วนใหญ่มีลักษณะบุคลิกภาพดังต่อไปนี้
1.3 ธรรมชาติของคนไทยในสังคม ธรรมชาติของคนไทยในแต่ละสังคมย่อมแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นฐานทางวัฒนธรรมและค่านิยมนั้น ๆ ทำให้คนไทยส่วนใหญ่มีลักษณะบุคลิกภาพดังต่อไปนี้
1. ยึดมั่นในตัวบุคคลมากกว่าหลักการและเหตุผล
2. ยกย่องบุคคลที่มีความรู้หรือได้รับการศึกษาสูง
3. เคารพและคล้อยตามผู้ได้รับวัยวุฒิสูง
4. ยกย่องผู้มีเงินและผู้มีอำนาจ
5. นิยมการเล่นพรรคเล่นพวก
6. มีลักษณะเฉื่อยชาไม่กระตือรือร้น
ในการพัฒนาหลักสูตร
ควรคำนึกถึงลักษณะธรรมชาติ บุคลิกของคนในสังคม โดยพิจารณาว่าลักษณะใดควรไม่ควร
เพราะหลักสูตรเป็นแนวทางในการสร้างลักษณะสังคมในอนาคต
1.4 การชี้นำสังคมในอนาคต การศึกษาควรมีบทบาทในการชี้นำสังคมในอนาคตด้วยเพราะในอดีตที่ผ่านมาระบบการศึกษา
เช่น การตั้งรับตามการเปลี่ยนต่าง ๆ เช่น กระแสการเจริญเติบโตของประเทศทางตะวันตก
กระแสวิชาการตะวันตก ความต้องการและปัญหาสังคม จึงทำให้การศึกษาเป็นตัวตาม
ฉะนั้นการจัดการเรียนรู้ต้องวางเป้าหมายให้ดี
นักพัฒนาหลักสูตรจึงควรศึกษาข้อมูลต่าง ๆ ที่เป็นเครื่องชี้นำสังคมในอนาคต เช่น
แผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ การศึกษาไทยจะได้มีบทบาททางสังคมอย่างแท้จริง
1.5 ลักษณะสังคมตามความคาดหวัง การเตรียมพัฒนาทรัพยากรให้มีคุณภาพมีคุณลักษณะหรือคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นเป็นเรื่องไม่คงที่
เรื่องของประเทศจะส่งผลกระทบการศึกษามีมากมายเช่น การเมือง เศรษฐกิจ
ความก้าวหน้าทางวิชาการทั้งนี้ในต่างประเทศจึงตั้งคุณลักษณะของสังคมเปลี่ยนแปลงไป
เพื่อที่จะคาดการณ์ล่วงหน้าได้ในอนาคต 5-10 ปีข้างหน้าจะเป็นเช่นไร และคุณลักษณะของประชากรที่มีคุณภาพมีดังนี้
1. มีสุขภาพกาย
สุขภาพจิตที่ดี
2.
มีอาชีพเพื่อเลี้ยงตนเองและครอบครัว
3. เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม
เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ
4. มีสติปัญญา
5. มีนิสัยรักการทำงาน
6. มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี
หน้าที่ของนักพัฒนาหลักสูตรก็คือ
จะต้องพิจารณาว่าจะจัดหลักสูตรอย่างไร รูปแบบใดจึงจะทำให้ประชากรมีคุณภาพดี
1.6 ศาสนาและวัฒนธรรมในสังคม ศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในสังคมวัฒนธรรมเป็นสัญลักษณ์อันสำคัญที่จะแสดงให้ทราบว่าเขาเหล่านั้นเป็นคนในสังคมเดียวกันหรือเป็นคนชาติเดียวกัน ดังนั้น ศาสนาและวัฒนธรรมจึงเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการพัฒนาหลักสูตร ทั้งนี้เพราะจุดประสงค์สำคัญของหลักสูตรก็คือ การทะนุบำรุงรักษาและถ่ายทอดวัฒนธรรมที่ดีงามไว้ การพัฒนาหลักสูตรจึงต้องคำนึกถึงศาสนาและวัฒนธรรมความรู้หลักธรรมศาสนาต่าง ๆ นำมาบรรจุไว้ในหลักสูตรด้วยเหตุที่ว่าประเทศไทยเป็นประเทศประชาธิปไตยให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนในการนับถือศาสนา เพราะฉะนั้นสิ่งที่บรรจุไว้ควรจะเป็นหลักธรรมของศาสนาต่าง ๆ
ข้อมูลพื้นฐานทางสังคมและวัฒนธรรมมีความสำคัญต่อการพัฒนาหลักสูตรเป็นอย่างมาก เพราะเป็นหลักสูตรที่ต้องตอบสนองสังคมและพัฒนาไปพร้อมกัน การศึกษาข้อมูลพื้นฐานทางสังคมและวัฒนธรรมอย่างรอบคอบจะทำให้เราสามารถนำไปพัฒนาหลักสูตรที่ดีตามลักษณะดังต่อไปนี้
1.6 ศาสนาและวัฒนธรรมในสังคม ศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในสังคมวัฒนธรรมเป็นสัญลักษณ์อันสำคัญที่จะแสดงให้ทราบว่าเขาเหล่านั้นเป็นคนในสังคมเดียวกันหรือเป็นคนชาติเดียวกัน ดังนั้น ศาสนาและวัฒนธรรมจึงเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการพัฒนาหลักสูตร ทั้งนี้เพราะจุดประสงค์สำคัญของหลักสูตรก็คือ การทะนุบำรุงรักษาและถ่ายทอดวัฒนธรรมที่ดีงามไว้ การพัฒนาหลักสูตรจึงต้องคำนึกถึงศาสนาและวัฒนธรรมความรู้หลักธรรมศาสนาต่าง ๆ นำมาบรรจุไว้ในหลักสูตรด้วยเหตุที่ว่าประเทศไทยเป็นประเทศประชาธิปไตยให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนในการนับถือศาสนา เพราะฉะนั้นสิ่งที่บรรจุไว้ควรจะเป็นหลักธรรมของศาสนาต่าง ๆ
ข้อมูลพื้นฐานทางสังคมและวัฒนธรรมมีความสำคัญต่อการพัฒนาหลักสูตรเป็นอย่างมาก เพราะเป็นหลักสูตรที่ต้องตอบสนองสังคมและพัฒนาไปพร้อมกัน การศึกษาข้อมูลพื้นฐานทางสังคมและวัฒนธรรมอย่างรอบคอบจะทำให้เราสามารถนำไปพัฒนาหลักสูตรที่ดีตามลักษณะดังต่อไปนี้
1. ตอบสนองความต้องการของสังคม
2. สอดคล้องกับความเป็นจริงในสังคม
3. เน้นในเรื่องรักชาติรักประชาชน
4. แก้ปัญหาให้กับสังคมมิใช่สร้างปัญหากับสังคม
5. ปรับปรุงสังคมให้ดีขึ้น
6. สร้างความสำนึกในเรื่องของความเปลี่ยนแปลงทางสังคม
7. ชี้นำในเรื่องการเปลี่ยนแปลงประเพณีและค่านิยม
8. ต้องถ่ายทอดวัฒนธรรมและจริยธรรม
9. ปลูกฝังในเรื่องความซื่อสัตย์และความยุติธรรม
ในสังคม
10.
ให้ความสำคัญในเรื่องผลประโยชน์ในสังคม
2. ข้อมูลพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจ
การศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ เพราะการศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาคนซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดในระบบเศรษฐกิจ
เพราะระบบเศรษฐกิจก้าวหน้าเพียงใดขึ้นอยู่กับคุณภาพของคนในสังคมนั้น
การพัฒนาหลักสูตรให้ให้เหมาะกับพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ควรพิจารณาประเด็นต่อไปนี้
2.1 การเตรียมกำลังคน การให้การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญในการผลิตกำลังคนในด้านต่าง
ๆ ให้เพียงพอ พอเหมาะ และสอดคล้องกับความต้องการในแต่ละสาขาวิชาชีพ
เพื่อป้องกันการสูญเปล่าทางการศึกษา
และเพื่อลดปัญหาการว่างงานอันเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ
นอกจากนี้การเตรียมกำลังคนให้สนองความต้องการของประเทศนั้นต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับระดับความ
สามารถที่ต้องการ
ซึ่งมีทั้งระดับผู้เชี่ยวชาญทางวิชาการสาขาต่าง ๆ ระดับช่างฝีมือ
และระดับกรรมกร
รวมทั้งต้องพิจารณาถึงแนวโน้มความต้องการทางเศรษฐกิจของประเทศชาติในอนาคตด้วย
2.2 การพัฒนาอาชีพ ประเทศไทยพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ทางการเกษตร
และประชากรส่วนใหญ่เป็นเกษตรที่อาศัยอยู่ในชนบท อาชีพอุตสาหกรรม พาณิชยกรรมและบริการมีอยู่เพียงชุมชนในเมือง
ปัจจุบันมีการโยกย้ายถิ่นที่อยู่เข้ามาทำงานอุตสาหกรรมในเมืองใหญ่
ซึ่งทำให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมา เช่นสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ
เกิดชุมชนแออัด ปัญหาครอบครัว เด็กเร่ร่อน
เป็นต้น เพราะฉะนั้นการพัฒนาหลักสูตรควรเน้นการส่งเสริมอาชีพส่วนใหญ่ของคนในประเทศ
จัดหลักสูตรเพื่อพัฒนาอาชีพตามศักยภาพและท้องถิ่น เพื่อพัฒนาอาชีพให้เหมาะสมเป็นการยกระดับรายได้ คนในชนบทให้สูงขึ้น
เพื่อลดปัญหาช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน ลดการหลั่งไหลของประชาชนเข้าไปทำงานตามเมืองใหญ่
สิ่งเหล่านั้นเป็นหน้าที่สำคัญที่นักพัฒนาหลักสูตรจะต้องร่วมมือร่วมใจกันทำหลักสูตรอาชีพเพื่อพัฒนาอาชีพให้บรรลุผล
2.3 การขยายตัวทางด้านอุตสาหกรรม ปัจจุบันประเทศไทยกำลังพัฒนาจากเกษตรกรรมไปสู่ภาคอุตสาหกรรมมากขึ้นเรื่อย ๆ นักพัฒนาหลักสูตรควรศึกษาข้อแนวโน้มและทิศทางการขยายตัวในอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมด้านไหนที่จะได้รับการพัฒนา หลักสูตรที่สามารถพัฒนาเยาวชนให้มีความพร้อมสำหรับการขยายตัวทางด้านอุตสาหกรรมสามารถผลิตผู้จบการศึกษาที่สามารถเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมอย่างเหมาะสม เท่าที่ผ่านมาจะเห็นว่าบางครั้งภาคอุตสาหกรรมไม่มีผู้มีความรู้ความสามารถด้านเฉพาะด้านเข้า ไปรับรองการการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมบางครั้งมีการผลิตผู้จบการศึกษากับความต้องการของแรงงานของไทยไม่สมดุลกันทำให้บางครั้งภาคอุสาหกรรมเหล่านั้นอย่างพอเพียง ฉะนั้นการศึกษาแนวโน้มการขยายตัวทางอุตสาหกรรมจึงเป็นสิ่งสำคัญประการหนึ่งที่นักพัฒนาการหลักสูตรจะละเลยเสียมิได้
2.3 การขยายตัวทางด้านอุตสาหกรรม ปัจจุบันประเทศไทยกำลังพัฒนาจากเกษตรกรรมไปสู่ภาคอุตสาหกรรมมากขึ้นเรื่อย ๆ นักพัฒนาหลักสูตรควรศึกษาข้อแนวโน้มและทิศทางการขยายตัวในอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมด้านไหนที่จะได้รับการพัฒนา หลักสูตรที่สามารถพัฒนาเยาวชนให้มีความพร้อมสำหรับการขยายตัวทางด้านอุตสาหกรรมสามารถผลิตผู้จบการศึกษาที่สามารถเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมอย่างเหมาะสม เท่าที่ผ่านมาจะเห็นว่าบางครั้งภาคอุตสาหกรรมไม่มีผู้มีความรู้ความสามารถด้านเฉพาะด้านเข้า ไปรับรองการการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมบางครั้งมีการผลิตผู้จบการศึกษากับความต้องการของแรงงานของไทยไม่สมดุลกันทำให้บางครั้งภาคอุสาหกรรมเหล่านั้นอย่างพอเพียง ฉะนั้นการศึกษาแนวโน้มการขยายตัวทางอุตสาหกรรมจึงเป็นสิ่งสำคัญประการหนึ่งที่นักพัฒนาการหลักสูตรจะละเลยเสียมิได้
2.4 การใช้ทรัพยากร เศรษฐกิจเป็นเรื่องของการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อสอบสนองความต้องการที่ไม่จำกัดของมนุษย์
เพราะฉะนั้นนักพัฒนาหลักสูตรควรให้ความสำคัญในเรื่องของทรัพยากรโดยใช้หลักสูตรเป็นเครื่องปลูกฝังเกี่ยวกับความสำคัญของทรัพยากร
จัดทำหลักสูตรเนื้อหาวิชา กิจกรรมและประสบการณ์ในหลักสูตรที่ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด
และเน้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจครบวงจรอันได้แก่ การผลิต การจำหน่าย การบริโภค การแลกเปลี่ยนการบริการโดยเน้นการปฏิบัติจริงและการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้รู้จักและเข้าใจระบบเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ซึ่งในจุดนี้นักพัฒนาหลักสูตรควรให้ความสำคัญแล้วคิดพัฒนาหลักสูตรเพื่อสนองพระราชดำริดังกล่าว
ในอนาคตประชาชนจะเห็นความสำคัญของทรัพยากรและสามารถนำทรัพยากรที่มีอยู่นำมาใช้ประโยชน์
เกิดรายได้อย่างมีคุณค่า ไม่มีการสูญเสียทางทรัพยากร
ปัญหาความยากจนและการอพยพย้ายถิ่นก็ไม่เกิดขึ้น
2.5 การพัฒนาคุณลักษณะของบุคคลในระบบเศรษฐกิจของไทย คุณลักษณะของในบุคคลในระบบเศรษฐกิจของคนไทยยังขัดแย้งกับความเป็นจริงในระบบเศรษฐกิจ
เช่นคนไทยมีรายได้ต่ำแต่ความต้องการจับจ่ายในระบบเศรษฐกิจในระบบเศรษฐกิจในระบบเปิดทำให้สินค้าฟุ่มเฟือยหลั่งไหลเกิดปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัว
หรือเป็นเศรษฐกิจในระบบเปิดทำให้สินค้าฟุ่มเฟือยหลั่งไหลเข้ามาสร้างวัฒนธรรมใหม่ในหมู่เยาวชน
หรือการเอารัดเอาเปรียบต่อผู้ด้อยการศึกษาจากบุคคลผู้มีอำนาจทางเศรษฐกิจ
ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้เป็นคุณลักษณะของคนไทยในระบบเศรษฐกิจที่ต้องได้รับการแก้ไขและพัฒนา
การใช้การศึกษาเข้าไปแก้ไขจะเป็นวิธีการสำคัญและให้ผลในระยะยาว
เพราะฉะนั้นการพัฒนาหลักสูตรต้องคำนึงถึงการพัฒนาคุณลักษณะของคนไทย
ในหลักสูตรจะต้องบรรจุเนื้อหาสาระ
และประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีการปลูกฝังจิตสำนึกในความรับผิดชอบร่วมกัน
การสร้างค่านิยมในการทำงานร่วมกัน การไม่เอารัดเอาเปรียบกันความขยันหมั่นเพียร
การรู้จักอดออม การมีสติรู้คิด
การมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ การสร้างเสริมความสามารถในการผลิต
การสร้างงานและแนวการประกอบอาชีพ ถ้าหลักสูตรในระดับต่าง
ๆ
ได้บรรจุและปลูกฝังสิ่งเหล่านี้ไว้ทั้งในแนวกว้างและแนวลึกตามระดับการศึกษาแล้วผู้จบการศึกษาก็จะเป็นบุคคลมีความสามารถพัฒนาตนเองให้มีประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจภายใต้ความเจริญทางด้านเศรษฐกิจได้เหมาะสม
2.6 การลงทุนการศึกษา การจัดการศึกษาในระดับต้องใช้งบประมาณของรัฐโดยเฉพาะการศึกษาขั้นพื้นฐาน
การจัดการศึกษาควรคำนึงถึงงบประมาณเพื่อการศึกษาแหล่งงานที่จะช่วยเหลือรัฐในรูปงบประมาณ
ในการพัฒนาพัฒนาหลักสูตรควรจัดให้สอดคล้องกับงบประมาณของรัฐ
ไม่ว่าในด้านจัดการเรียนการสอน ด้านวัตถุอุปกรณ์
เพื่อให้มีการใช้หลักสูตรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และต้องคำนึงถึงผลตอบแทนจากการลงทุน ในด้านกำลังคนปริมาณคน และคุณภาพ เช่น
การพัฒนาหลักสูตรให้เยาวชนมีคาวามสามารถทางด้านคอมพิวเตอร์ การลงทุนด้านอุปกรณ์คือคอมพิวเตอร์ ให้ทุกโรงเรียนมีคอมพิวเตอร์สอนนักเรียน
แต่บางโรงเรียนไม่มีไฟฟ้า หรือบางโรงเรียนยังไม่มีบุคลากรที่มีความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์
การลงทุนในจุดดังกล่าวส่วนหนึ่งอาจเป็นการลงทุนที่สูญเปล่า
เฉพาะฉะนั้นในการพัฒนาหลักสูตรควรคำนึงถึงการลงทุนทางการศึกษาด้วยว่าเป็นการลงทุนที่สูญเปล่าหรือไม่
ในอนาคตมีตัวอย่างในการพัฒนาหลักสูตรที่ทำให้เกิดการสูตรเปล่าทางการศึกษาอยู่เสมอ
3. ข้อมูลพื้นฐานทางด้านการเมืองการปกครอง
การเมืองการปกครองเป็นที่เกี่ยวกับการจัดระเบียบการอยู่ร่วมกันในสังคมหมู่มากจำเป็นต้องมีระเบียบแบบแผนหรือกติกาต่าง ๆ สำหรับสมาชิกในสังคมยึดถือเป็นแนวปฏิบัติต่อกันเพื่อความสงบเรียบร้อยและการอยู่รวมกันอย่างสันติ ดังนั้น การเมืองการปกครองจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับบทบาท หน้าที่สิทธิ และความรับผิดชอบที่ทุกคนพึงมีต่อสังคมและประเทศชาติ
การเมืองการปกครองมีความสัมพันธ์กับการศึกษา ในฐานะที่การศึกษามีหน้าที่ผลิตสมาชิกที่ดีให้แก่สังคมให้อยู่ในระบบการปกครองประเทศชาติ ช่วยให้ผู้เรียนทราบว่าตนมีสิทธิหน้าที่และความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างไร และควรแสดงแนวคิดปฏิบัติตนอย่างไรหลักสูตรของประเทศต่าง ๆ จึงควรบรรจุเนื้อหาวิชาและประสบการที่จะปลูกฝังให้ประชากรอยู่ร่วมกันในสังคมได้ด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อยและสันติสุข
ข้อมูลที่เกี่ยวกับการเมืองการปกครอง ที่ควรจะนำมาเป็นเนื้อหาประกอบการพิจารณาในการพัฒนาหลักสูตรก็คือ ระบบการเมืองและระบบการปกครอง นโยบายของรัฐและรากฐาน ของประชาธิปไตย
3.1 ระบบการเมืองการปกครอง เนื่องจากการศึกษาเป็นเครื่องมืออันหนึ่งของสังคม ดังนั้น การศึกษาระบบการเมืองการปกครองจึงแยกกันไม่ออก หลักสูตรของประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับประถมศึกษาซึ่งเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐานมักจะบรรจุเนื้อหาสาระของระบบการเมืองการปกครองไว้ เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนอยู่ร่วมกันใจสังคมได้ด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อย ในบางประเทศที่ต้องการปลูกฝังอุดมการณ์ทางการเมืองให้แก่ประชาชน เพราะฉะนั้นในการพัฒนาหลักสูตรควรเลือกเนื้อหาวิชาประสบการณ์การเรียนรู้ และการจัดให้มีการเรียนการสอนเกี่ยวกับระบบการเมืองการปกครองที่ต้องการปลูกฝัง
3.2 นโยบายของรัฐ เนื่องจากการศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของระบบสังคมจึงมีความจำเป็นต้องสอดคล้องกับระบบอื่น ๆ ในสังคมการที่จะทำให้ระบบต่าง ๆ สามารถเกื้อหนุนส่งเสริมซึ่งกันและกันจึงจำเป็นต้องมีการประสานสัมพันธ์ระหว่างระบบเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้รัฐบายจึงมีนโยบายแห่งรัฐเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานของระบบต่าง ๆ ให้มีความต่อเนื่องและสอดคล้องซึ่งกันและกัน นโยบายของรัฐที่เห็นได้ชัดเจนคือ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนพัฒนาการศึกษา ในการพัฒนาหลักสูตรควรจะได้พิจารณานโยบายของรัฐด้วย เพื่อที่จะได้จัดการศึกษาให้สอดคล้องกัน
3.3 รากฐานของประชาธิปไตย จากการที่ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาสิทธิราชย์มาเป็นระบบอบประชาธิปไตยใน พ.ศ. 2475 นั้น ควรรู้ความเข้าใจตลอดจนความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ เกี่ยวกับประชาธิปไตยในสังคมไทยยังไม่เพียงพอ หลักสูตรในฐานะที่เป็นเครื่องมือสำหรับพัฒนาคนควรที่จะวางรากฐานที่เกี่ยวกับประชาธิปไตยให้แก่สังคม เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจให้ถูกต้องซึ่งจะสร้างสรรค์ให้ทุกคนอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสันติสุข และไม่มีการเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน นอกจากนี้การจัดการเรียนการสอน จึงควรมุ่งเน้นพฤติกรรมประชาธิปไตยด้วย สำหรับประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยมานานแล้ว แต่ทางปฏิบัติเราต้องยอมรับว่ายังไม่สมบูรณ์ ดังจะเห็นได้จากการราษฎรส่วนใหญ่ยังไม่รู้ถึงสิทธิหน้าที่ของตนต่อรัฐ ไม่รู้ว่าตนเองมีความสำคัญมีส่วนมีเสียงในการปกครอง ไม่รู้ว่าการเมืองมีส่วนสัมพันธ์กับชีวิตประจำวันของตน ไม่เห็นความจำเป็นในการเลือกตั้งเป็นต้น การศึกษาควรมีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงแก้ไข การจัดการเรียนการสอนควรเน้นเรื่องความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง ให้ประชาชนรู้หน้าที่ของตนในระบอบประชาธิปไตย ให้สำนึกว่าการเมืองและการปกครองเป็นเรื่องของทุกคนในสังคม ทั้งที่ศึกษาอยู่ในระบบและนอกระบบ และ/ หรือจบการศึกษาแล้วได้ศึกษาและนำไปปฏิบัติจริงเพื่อสอดคล้องกับนโยบายที่ว่าการศึกษาและ/ หรือจบการศึกษาแล้วได้ศึกษาคือ กระบวนการต่อเนื่องตลอดชีวิต เมื่อเป็นเช่นการจัดหลักสูตรให้ประชาชนเข้าใจเกี่ยวกับการเมืองการปกครองจึงกระทำได้หลายรูปแบบเพื่อให้ผู้เรียนได้รับความรู้ มีจิตสำนึกในความร่วมมือ เข้าใจบทบาทตนเองในด้านการเมืองการปกครองอย่างแท้จริง
เพื่อเป็นการวางรากฐานทางด้านประชาธิปไตย การจัดการศึกษาให้เหมาะสมกับระบบการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตย ควรจัดตามลำดับดังนี้
การเมืองการปกครองเป็นที่เกี่ยวกับการจัดระเบียบการอยู่ร่วมกันในสังคมหมู่มากจำเป็นต้องมีระเบียบแบบแผนหรือกติกาต่าง ๆ สำหรับสมาชิกในสังคมยึดถือเป็นแนวปฏิบัติต่อกันเพื่อความสงบเรียบร้อยและการอยู่รวมกันอย่างสันติ ดังนั้น การเมืองการปกครองจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับบทบาท หน้าที่สิทธิ และความรับผิดชอบที่ทุกคนพึงมีต่อสังคมและประเทศชาติ
การเมืองการปกครองมีความสัมพันธ์กับการศึกษา ในฐานะที่การศึกษามีหน้าที่ผลิตสมาชิกที่ดีให้แก่สังคมให้อยู่ในระบบการปกครองประเทศชาติ ช่วยให้ผู้เรียนทราบว่าตนมีสิทธิหน้าที่และความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างไร และควรแสดงแนวคิดปฏิบัติตนอย่างไรหลักสูตรของประเทศต่าง ๆ จึงควรบรรจุเนื้อหาวิชาและประสบการที่จะปลูกฝังให้ประชากรอยู่ร่วมกันในสังคมได้ด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อยและสันติสุข
ข้อมูลที่เกี่ยวกับการเมืองการปกครอง ที่ควรจะนำมาเป็นเนื้อหาประกอบการพิจารณาในการพัฒนาหลักสูตรก็คือ ระบบการเมืองและระบบการปกครอง นโยบายของรัฐและรากฐาน ของประชาธิปไตย
3.1 ระบบการเมืองการปกครอง เนื่องจากการศึกษาเป็นเครื่องมืออันหนึ่งของสังคม ดังนั้น การศึกษาระบบการเมืองการปกครองจึงแยกกันไม่ออก หลักสูตรของประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับประถมศึกษาซึ่งเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐานมักจะบรรจุเนื้อหาสาระของระบบการเมืองการปกครองไว้ เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนอยู่ร่วมกันใจสังคมได้ด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อย ในบางประเทศที่ต้องการปลูกฝังอุดมการณ์ทางการเมืองให้แก่ประชาชน เพราะฉะนั้นในการพัฒนาหลักสูตรควรเลือกเนื้อหาวิชาประสบการณ์การเรียนรู้ และการจัดให้มีการเรียนการสอนเกี่ยวกับระบบการเมืองการปกครองที่ต้องการปลูกฝัง
3.2 นโยบายของรัฐ เนื่องจากการศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของระบบสังคมจึงมีความจำเป็นต้องสอดคล้องกับระบบอื่น ๆ ในสังคมการที่จะทำให้ระบบต่าง ๆ สามารถเกื้อหนุนส่งเสริมซึ่งกันและกันจึงจำเป็นต้องมีการประสานสัมพันธ์ระหว่างระบบเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้รัฐบายจึงมีนโยบายแห่งรัฐเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานของระบบต่าง ๆ ให้มีความต่อเนื่องและสอดคล้องซึ่งกันและกัน นโยบายของรัฐที่เห็นได้ชัดเจนคือ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนพัฒนาการศึกษา ในการพัฒนาหลักสูตรควรจะได้พิจารณานโยบายของรัฐด้วย เพื่อที่จะได้จัดการศึกษาให้สอดคล้องกัน
3.3 รากฐานของประชาธิปไตย จากการที่ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาสิทธิราชย์มาเป็นระบบอบประชาธิปไตยใน พ.ศ. 2475 นั้น ควรรู้ความเข้าใจตลอดจนความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ เกี่ยวกับประชาธิปไตยในสังคมไทยยังไม่เพียงพอ หลักสูตรในฐานะที่เป็นเครื่องมือสำหรับพัฒนาคนควรที่จะวางรากฐานที่เกี่ยวกับประชาธิปไตยให้แก่สังคม เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจให้ถูกต้องซึ่งจะสร้างสรรค์ให้ทุกคนอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสันติสุข และไม่มีการเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน นอกจากนี้การจัดการเรียนการสอน จึงควรมุ่งเน้นพฤติกรรมประชาธิปไตยด้วย สำหรับประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยมานานแล้ว แต่ทางปฏิบัติเราต้องยอมรับว่ายังไม่สมบูรณ์ ดังจะเห็นได้จากการราษฎรส่วนใหญ่ยังไม่รู้ถึงสิทธิหน้าที่ของตนต่อรัฐ ไม่รู้ว่าตนเองมีความสำคัญมีส่วนมีเสียงในการปกครอง ไม่รู้ว่าการเมืองมีส่วนสัมพันธ์กับชีวิตประจำวันของตน ไม่เห็นความจำเป็นในการเลือกตั้งเป็นต้น การศึกษาควรมีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงแก้ไข การจัดการเรียนการสอนควรเน้นเรื่องความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง ให้ประชาชนรู้หน้าที่ของตนในระบอบประชาธิปไตย ให้สำนึกว่าการเมืองและการปกครองเป็นเรื่องของทุกคนในสังคม ทั้งที่ศึกษาอยู่ในระบบและนอกระบบ และ/ หรือจบการศึกษาแล้วได้ศึกษาและนำไปปฏิบัติจริงเพื่อสอดคล้องกับนโยบายที่ว่าการศึกษาและ/ หรือจบการศึกษาแล้วได้ศึกษาคือ กระบวนการต่อเนื่องตลอดชีวิต เมื่อเป็นเช่นการจัดหลักสูตรให้ประชาชนเข้าใจเกี่ยวกับการเมืองการปกครองจึงกระทำได้หลายรูปแบบเพื่อให้ผู้เรียนได้รับความรู้ มีจิตสำนึกในความร่วมมือ เข้าใจบทบาทตนเองในด้านการเมืองการปกครองอย่างแท้จริง
เพื่อเป็นการวางรากฐานทางด้านประชาธิปไตย การจัดการศึกษาให้เหมาะสมกับระบบการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตย ควรจัดตามลำดับดังนี้
1. การจัดการศึกษาให้เท่าเทียมทั่วถึง
2. ให้อำนาจการจัดการศึกษากระจายในท้องถิ่น
3. ให้เสรีภาพและเสถียรภาพแก่บุคคล
ให้โอกาสแสดงความคิดเห็น
4. การเรียนการสอนควรส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย
ให้โอกาสผู้เรียนแสวงหาความรู้
5. ส่งเสริมการแก้ไขปัญหาตนเอง
6. จัดหลักสูตรให้ยืดหยุ่นได้ง่าย
7. เน้นวิชามนุษย์สัมพันธ์และจริยธรรมเป็นพิเศษ
นอกจากนั้นการปลูกฝังอบรมสั่งสอนนักเรียน ก็มีส่วนสำคัญที่จะช่วยให้ประชาธิปไตยของไทยมีความเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้นด้วยวิธีการดังนี้
1. ชี้ให้เห็นประโยชน์ประชาธิปไตยโดยการให้คำแนะนำและปฏิบัติ
2. สร้างนิสัยให้มีความกระตือรือร้น สนใจเหตุการณ์บ้านเมือง
3. ปลูกฝังการมีวินัยและการเคารพสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น
นอกจากนั้นการปลูกฝังอบรมสั่งสอนนักเรียน ก็มีส่วนสำคัญที่จะช่วยให้ประชาธิปไตยของไทยมีความเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้นด้วยวิธีการดังนี้
1. ชี้ให้เห็นประโยชน์ประชาธิปไตยโดยการให้คำแนะนำและปฏิบัติ
2. สร้างนิสัยให้มีความกระตือรือร้น สนใจเหตุการณ์บ้านเมือง
3. ปลูกฝังการมีวินัยและการเคารพสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น
4. ฝึกการเคารพกฎเกณฑ์ต่าง ๆ อย่างเข้มผู้เข้มงวด
5. กระตุ้นและปลูกฝังให้มีความตั้งใจเรียน ซื่อสัตย์ รับผิดชอบต่อตนเอง ครอบครัวและประเทศชาติ
5. กระตุ้นและปลูกฝังให้มีความตั้งใจเรียน ซื่อสัตย์ รับผิดชอบต่อตนเอง ครอบครัวและประเทศชาติ
6. ฝึกให้ความสนใจและร่วมกันพิจารณาปัญหาต่าง
ของสังคมและหาทางแก้ไข
7. หาโอกาสให้ให้ความร่วมมือประกอบกิจกรรมเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวม
8. ช่วยแก้ไขค่านิยมที่ไม่เหมาะสมในสังคมและสร้างค่านิยมที่ดีและเหมาะสม
9. ปลูกฝังทัศนคติที่ว่าการเมืองเป็นเรื่องการให้ความร่วมมือ
การเสียสละ และการช่วยชาติเพื่อบุคคลรุ่นใหม่จะได้เป็นนักการเรียนที่ดี
10. ให้ความรู้และกระตุ้นให้สนใจการเมืองโดยคำนึงถึงหลักการ วิธีการ สิทธิหน้าที่ในฐานะพลเมืองของประเทศ
10. ให้ความรู้และกระตุ้นให้สนใจการเมืองโดยคำนึงถึงหลักการ วิธีการ สิทธิหน้าที่ในฐานะพลเมืองของประเทศ
11. ปลูกฝังให้มีความพร้อมที่จะมีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมืองทั้งในระดับโรงเรียน
ท้องถิ่น และประเทศชาติ
12. ปลูกฝังให้ผู้เรียนมีแนวคิดว่าทุกคนควรมีบทบาททางการเมือง และการเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกคนทั้งทางตรงและทางอ้อม
13. เน้นให้เห็นความสำคัญของการใช้สิทธิ์เลือกตั้ง
จากตัวอย่างดังกล่าวพอจะเป็นแนวทางกำหนดเนื้อหา กิจกรรมการจัดการเรียนการสอนและประสบการณ์เรียนรู้ไว้เป็นหลักสูตร เพื่อให้ผู้เรียนที่จบการศึกษาเป็นผลเมืองที่มีคุณภาพสอดคล้องกับระบบการเมืองการปกครองของประเทศ
12. ปลูกฝังให้ผู้เรียนมีแนวคิดว่าทุกคนควรมีบทบาททางการเมือง และการเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกคนทั้งทางตรงและทางอ้อม
13. เน้นให้เห็นความสำคัญของการใช้สิทธิ์เลือกตั้ง
จากตัวอย่างดังกล่าวพอจะเป็นแนวทางกำหนดเนื้อหา กิจกรรมการจัดการเรียนการสอนและประสบการณ์เรียนรู้ไว้เป็นหลักสูตร เพื่อให้ผู้เรียนที่จบการศึกษาเป็นผลเมืองที่มีคุณภาพสอดคล้องกับระบบการเมืองการปกครองของประเทศ
4. ข้อมูลพื้นฐานสภาพปัญหา และแนวทางการแก้ปัญหาในสังคม
สภาพปัญหาและแนวทางในการแก้ปัญหาของสังคมเป็นข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญที่ต้องศึกษา สังคมไทยปัจจุบันกำลังประสบปัญหายุ่งยากหลายประการ ทั้งปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาการเมือง ซึ่งการแก้ปัญหาเหล่านี้มีทั้งระยะสั้นระยะยาว และการแก้ปัญหาอาจทำได้ชั่วคราวหรืออย่างถาวร การจัดการศึกษาเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นเรื่องสำคัญที่นักพัฒนาหลักสูตรจะต้องศึกษา แล้วนำมาสร้างเป็นหลักสูตร ปัญหาสำคัญๆ ที่ควรศึกษาคือ
สภาพปัญหาและแนวทางในการแก้ปัญหาของสังคมเป็นข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญที่ต้องศึกษา สังคมไทยปัจจุบันกำลังประสบปัญหายุ่งยากหลายประการ ทั้งปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาการเมือง ซึ่งการแก้ปัญหาเหล่านี้มีทั้งระยะสั้นระยะยาว และการแก้ปัญหาอาจทำได้ชั่วคราวหรืออย่างถาวร การจัดการศึกษาเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นเรื่องสำคัญที่นักพัฒนาหลักสูตรจะต้องศึกษา แล้วนำมาสร้างเป็นหลักสูตร ปัญหาสำคัญๆ ที่ควรศึกษาคือ
4.1 ปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ การขยายตัวของอุตสาหกรรม
และการใช้เทคโนโลยี ทำให้เกิดปัญหาสภาวะแวดล้อมทางธรรมชาติในสังคมไทยมากขึ้นเช่น
ปัญหาการทำลายป่าไม้ ปัญหาความเสื่อมโทรมของดิน
ปัญหาน้ำเสีย และอากาศเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น ปัญหาต่าง ๆ สมควรที่จะได้ศึกษาข้อเท็จจริงถึงสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขเพื่อที่นำไปเป็นข้อมูลในการจัดการศึกษาและพัฒนาหลักสูตร
เช่น การกำหนดเนื้อหาในเรื่องสภาพแวดล้อม
การปลูกฝังการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
การใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่ฉลาดถูกต้อง
ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราสามารถกำหนดลงในเนื้อหาของหลักสูตรในระดับต่าง ๆ
ตามความเหมาะสม เพื่อที่ปลูกฝังความรับผิดชอบในสิ่งเหล่านี้ให้เกิดในผู้เรียน
และประเทศก็จะมีพลเมืองที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมของประเทศ
ปัญหาเกี่ยวสิ่งแวดล้อมในอนาคตก็จะได้รับการป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น
4.2 ปัญหาทางด้านสังคม ปัญหาทางสังคมที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน มักจะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสังคม ซึ่งมีสาเหตุจากความเจริญทางด้านวัตถุและวัฒนธรรมตะวันตกหลั่งไหลเข้ามาอย่างรวดเร็วด้วยอิทธิพลของการสื่อสาร ทำให้คนไทยรับวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาโดยเฉพาะในหนุ่มสาวหรือเยาวชน ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางด้านความคิดระหว่างคนหนุ่มสาวกับผู้ใหญ่ที่ยึดมั่นในวัฒนธรรมเดิม ทำให้เกิดปัญหากับยาเสพติด ปัญหาทางเพศ ปัญหาทางอาชญากรรม ซึ่งการศึกษาปัญหาเหล่านี้จะเป็นข้อมูลในการจัดหลักสูตรเพื่อเตรียมเยาวชนสามารถดำรงอยู่ในสังคมที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างมีความสุขและไม่เกิดปัญหา
4.2 ปัญหาทางด้านสังคม ปัญหาทางสังคมที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน มักจะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสังคม ซึ่งมีสาเหตุจากความเจริญทางด้านวัตถุและวัฒนธรรมตะวันตกหลั่งไหลเข้ามาอย่างรวดเร็วด้วยอิทธิพลของการสื่อสาร ทำให้คนไทยรับวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาโดยเฉพาะในหนุ่มสาวหรือเยาวชน ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางด้านความคิดระหว่างคนหนุ่มสาวกับผู้ใหญ่ที่ยึดมั่นในวัฒนธรรมเดิม ทำให้เกิดปัญหากับยาเสพติด ปัญหาทางเพศ ปัญหาทางอาชญากรรม ซึ่งการศึกษาปัญหาเหล่านี้จะเป็นข้อมูลในการจัดหลักสูตรเพื่อเตรียมเยาวชนสามารถดำรงอยู่ในสังคมที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างมีความสุขและไม่เกิดปัญหา
4.3 ปัญหาด้านเศรษฐกิจ โดยพื้นฐานนั้นประเทศไทยเป็นประเทศที่มีพื้นฐานดั้งเดิมจากเกษตรกรรม
ประชาชนส่วนใหญ่ยังมีพื้นฐานอยากจนและมีการศึกษาต่ำ ประชาชนเกิดการว่างงาน การย้ายถิ่นทำกินชนบทเข้าสู่เมือง หรืออัตราค่าจ้างแรงงานต่ำ สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาทางเศรษฐกิจยาวนานของประเทศ
ประกอบกับในปัจจุบันประเทศต่าง ๆ
ประสบกับภาวะปัญหาทางด้านเศรษฐกิจของโลกทั้งประเทศไทยด้วย ทำให้ปัญหาทางเศรษฐกิจในอดีต ปัจจุบัน และแนวโน้มปัญหาที่เกิดในอนาคต
เพื่อจะให้นำข้อมูลทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยกำหนดจุดหมายของหลักสูตร การสร้างหลักสูตรหลายวิชา
หรือการบรรจุเนื้อหาสาระให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถและประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ
ทำให้ผู้ที่จบการศึกษาในระดับต่างๆ สามารถออกไปประกอบอาชีพได้ และสามารถดำรงอยู่ในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ โดยไม่เป็นปัญหาหรือภาระของสังคม หรือจัดการศึกษาเพื่อให้บุคคลสามารถสร้างงานได้
4.4 ปัญหาทางด้านการเมืองการปกครอง สภาพปัญหาทางด้านการเมืองของไทยเป็นมาอย่างยาวนาน สมควรที่การศึกษาจะเข้าไปมีบทบาทในการพัฒนาด้านการเมือง คือการให้ความรู้และปลูกฝังในเรื่องของประชาธิปไตย เพราะประชาชนทั่วไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนในท้องถิ่นชนบทมีความรู้เข้าใจเกี่ยวกับประชาธิปไตยไม่ดีพอ นอกจากนั้นประชาชนส่วนใหญ่ ยังขาดความสำนึกและความรับผิดชอบต่อวิถีทางแบบประชาธิปไตย ซึ่งจะเห็นได้จากการเข้ามีบทบาททางการเมืองยังเป็นเรื่องของคนกลุ่มน้อย หรือจำนวนผู้ไปใช้เสียงในการเลือกตั้งแต่ละครั้งมีจำนวนน้อยมากเมื่อเปรียบกับผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งทั้งหมด แม้ว่านักศึกษามีอายุที่จะใช้สิทธิ์เลือกตั้งได้แล้วแต่อัตราส่วนผู้ใช้สิทธิ์ยังน้อยเหมือนเดิม ในเมื่อผู้ได้รับการศึกษาที่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องประชาธิปไตยเป็นอย่างดี ยังขาดความสำนึกความรับผิดชอบเช่นนี้ นักพัฒนาหลักสูตรจึงควรที่จะได้ตระหนักและพัฒนาหลักสูตร เนื้อหาวิชาหรือกิจกรรมการเรียนการสอนให้สามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีจิตสำนึก และความรู้สึกรับผิดชอบต่อการปกครองของประเทศ
4.4 ปัญหาทางด้านการเมืองการปกครอง สภาพปัญหาทางด้านการเมืองของไทยเป็นมาอย่างยาวนาน สมควรที่การศึกษาจะเข้าไปมีบทบาทในการพัฒนาด้านการเมือง คือการให้ความรู้และปลูกฝังในเรื่องของประชาธิปไตย เพราะประชาชนทั่วไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนในท้องถิ่นชนบทมีความรู้เข้าใจเกี่ยวกับประชาธิปไตยไม่ดีพอ นอกจากนั้นประชาชนส่วนใหญ่ ยังขาดความสำนึกและความรับผิดชอบต่อวิถีทางแบบประชาธิปไตย ซึ่งจะเห็นได้จากการเข้ามีบทบาททางการเมืองยังเป็นเรื่องของคนกลุ่มน้อย หรือจำนวนผู้ไปใช้เสียงในการเลือกตั้งแต่ละครั้งมีจำนวนน้อยมากเมื่อเปรียบกับผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งทั้งหมด แม้ว่านักศึกษามีอายุที่จะใช้สิทธิ์เลือกตั้งได้แล้วแต่อัตราส่วนผู้ใช้สิทธิ์ยังน้อยเหมือนเดิม ในเมื่อผู้ได้รับการศึกษาที่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องประชาธิปไตยเป็นอย่างดี ยังขาดความสำนึกความรับผิดชอบเช่นนี้ นักพัฒนาหลักสูตรจึงควรที่จะได้ตระหนักและพัฒนาหลักสูตร เนื้อหาวิชาหรือกิจกรรมการเรียนการสอนให้สามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีจิตสำนึก และความรู้สึกรับผิดชอบต่อการปกครองของประเทศ
จากสภาพปัญหาต่าง ๆ ที่กล่าวมาเป็นเพียงตัวอย่างที่นักพัฒนาหลักสูตรจะตั้งคำนึงถึง
ทั้งนี้เพื่อให้หลักสูตรที่ร่างขึ้นมามีส่วนแก้ปัญหาสังคมและประเทศชาติโดยส่วนรวมบางปัญหาอาจแก้ได้โดยตรง
บางปัญหาการศึกษาแก้ไขโดยทางอ้อม ซึ่งเป็นหน้าที่ของนักพัฒนาหลักสูตรจะต้องพิจารณาปัญหาเพื่อนำไปสู่การตัดสินใจเลือกทิศทางในการพัฒนาหลักสูตรเพื่อสร้างคนที่เป็นประโยชน์แก่สังคม
หรือคนที่จะไปพัฒนาหรือแก้ปัญหาสังคมต่อไป
ขั้นตอนในการพิจารณาปัญหาและแนวทางแก้ไขมีดังนี้
1.
พิจารณาปัญหาที่ระบบการศึกษาเอื้ออำนวยในการปรับปรุงให้ดีขึ้น
2. พิจารณาสาเหตุ
ข้อเท็จจริงสภาพปัญหา
3. พิจารณาวิชา
เนื้อหาและประสบการณ์การเรียนรู้ที่เหมาะสม
4.
พิจารณากิจกรรมการเรียนการสอนที่เหมาะสม
5. ข้อมูลพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงไป ผู้เรียนเกิดความจำเป็นต้องเพิ่มความรู้ใหม่ ทักษะใหม่ และต้องเปลี่ยนแปลงเจตคติใหม่ ทำให้เกิดความจำเป็นจะต้องสร้างคุณธรรมและความคิดใหม่เพื่อให้คนในสังคมสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสังคมได้ โดยใช้การศึกษาทำหน้าที่สร้างประชาชนที่มีคุณภาพและมีความสามารถปรับตัวให้กับความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม หลักสูตรที่นำมาใช้จำเป็นต้องมีความสอดคล้องกับความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปัจจุบันประเทศไทยได้นำเอาความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์มาใช้ในสังคมอย่างกว้างขวางในทุกๆ ด้าน ทำให้เกิดผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมทั้งทางตรงและทางอ้อมดังนั้น การจัดการศึกษาจึงควรจะให้ประชาชนตระหนักถึงสภาพข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่เป็นผลกระทบจากความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมทั้งให้เขาได้รับข้อมูลต่าง ๆ อย่างเพียงพอ เพื่อให้เขาสามารถเลือกตัดสินใจใช้วิธีการปฏิบัติที่ถูกต้อง ดังนั้น นักพัฒนาหลักสูตรต้องศึกษาข้อมูลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทั้งในปัจจุบันและแนวโน้มความเจริญในอนาคต เพื่อที่จะได้พัฒนาหลักสูตรเพื่อพัฒนาคนให้สามารถดำรงตนอยู่ได้อย่างเหมาะสมในสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
ความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงไป ผู้เรียนเกิดความจำเป็นต้องเพิ่มความรู้ใหม่ ทักษะใหม่ และต้องเปลี่ยนแปลงเจตคติใหม่ ทำให้เกิดความจำเป็นจะต้องสร้างคุณธรรมและความคิดใหม่เพื่อให้คนในสังคมสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสังคมได้ โดยใช้การศึกษาทำหน้าที่สร้างประชาชนที่มีคุณภาพและมีความสามารถปรับตัวให้กับความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม หลักสูตรที่นำมาใช้จำเป็นต้องมีความสอดคล้องกับความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปัจจุบันประเทศไทยได้นำเอาความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์มาใช้ในสังคมอย่างกว้างขวางในทุกๆ ด้าน ทำให้เกิดผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมทั้งทางตรงและทางอ้อมดังนั้น การจัดการศึกษาจึงควรจะให้ประชาชนตระหนักถึงสภาพข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่เป็นผลกระทบจากความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมทั้งให้เขาได้รับข้อมูลต่าง ๆ อย่างเพียงพอ เพื่อให้เขาสามารถเลือกตัดสินใจใช้วิธีการปฏิบัติที่ถูกต้อง ดังนั้น นักพัฒนาหลักสูตรต้องศึกษาข้อมูลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทั้งในปัจจุบันและแนวโน้มความเจริญในอนาคต เพื่อที่จะได้พัฒนาหลักสูตรเพื่อพัฒนาคนให้สามารถดำรงตนอยู่ได้อย่างเหมาะสมในสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
นอกจากจะพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแล้ว
ความเจริญทางด้านนี้ยังก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องเนื้อหาของหลักสูตรและการเรียนการสอน
เช่น อุปกรณ์สอนใหม่ๆ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆคอมพิวเตอร์ วิทยุ โทรทัศน์ เครื่องบันทึกเสียง
วีดีทัศน์ ไมโครฟิล์ม โพรเจกเตอร์ วิธีการสอนแบบใหม่ๆ ซึ่งใช้เครื่องมือต่าง ๆ
ช่วย เช่น วิทยุการศึกษา โทรทัศน์การศึกษา การศึกษาทางไกล
การสอนแบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเป็นต้น
วัสดุอุปกรณ์ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์
และวิธีการสอนใหม่ที่อาศัยความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเหล่านี้ สามารถช่วยให้จัดการศึกษามีประสิทธิภาพสูงกว่าการสอนในอดีต
ผู้พัฒนาหลักสูตรจึงมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความก้าวหน้าในเรื่องดังกล่าวนำมาพัฒนาหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมด้วย
6. ข้อมูลพื้นฐานทางสภาพทางสังคมในอนาคต
จากสภาพการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านเศรษฐกิจ
การเมือง สังคม
และความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทยในปัจจุบัน
ชี้ให้เห็นว่าในอนาคตประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรมมากขึ้น
ซึ่งจะเป็นผลให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่หลากหลายสาขา
จากสภาพการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีผลทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงไปดังนี้
1. มีการส่งเสริมอุตสาหกรรมขนาดย่อม
รวมทั้งอุตสาหกรรมท้องถิ่นเพิ่มขึ้น
2. งานอาชีพอิสระมีแนวโน้มจะมีความสำเร็จมากขึ้นในอนาคตทั้งนี้เนื่องจากลักษณะการผลิตอุตสาหกรรมส่วนใหญ่มักเป็นการผลิตใช้ทุนมากกว่าใช้แรงงาน
3. ในอนาคตสภาพสังคมจะมีการแข่งขันและต่อสู้เพื่ออยู่รอดเฉพาะตัวเพราะที่ดินทำกินไม่สามารถขยายเพิ่มให้สมดุลกับประชากรได้
ทำให้เกิดการเข้ามาทำงานในเมืองมากขึ้น
และภาคอุตสาหกรรมก็ไม่สามารถรองรับแรงงานได้ทั้งหมด
เพราะฉะนั้นการแข่งขันเพื่อความอยู่รอดมีมากขึ้น
4. การประพฤติปฏิบัติของคนไทยจะเปลี่ยนไปจากวัฒนธรรมดั้งเดิมซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ
สังคม การเมือง ความเจริญด้านเทคโนโลยีและการหลั่งไหลเข้ามาของวัฒนธรรมตะวันตก
ซึ่งมีผลกระทบต่อคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และสิ่งแวดล้อมของสังคมไทย
5. ในอนาคตคาดว่าการดำเนินชีวิตของคนไทยประสบกับปัญหา
ทั้งในด้านสุขภาพและ
การประกอบอาชีพมากขึ้น ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
เศรษฐกิจและการเพิ่มของประชากร
จากสภาพการเปลี่ยนแปลงในลักษณะต่าง ๆ
ดังกล่าวแล้ว หลักสูตรในอนาคตต้องมีบทบาทดังต่อไปนี้
1. เตรียมกำลังคนให้เหมาะสมกับงานด้านอุตสาหกรรมขนาดย่อย
และอุตสาหกรรมท้องถิ่น โดยเตรียมกำลังคนที่มีคุณภาพทางด้านความรู้ทักษะ
และลักษณะนิสัย ตลอดจนเจตคติที่ดีต่อการทำงานอาชีพ
2. ส่งเสริมอาชีพอิสระและเตรียมคนให้เห็นช่องทางในการประกอบอาชีพอิสระมากขึ้นเพื่อแก้ปัญหาการว่างงานของประชาชนส่วนหนึ่ง
3. การศึกษาในอนาคตควรเน้นไปที่การสร้างค่านิยมด้านความสามัคคีในการอยู่ร่วมกัน
โดยให้ทุกคนรู้จักเสียสละ มุ่งทำประโยชน์ให้แก่สังคมเป็นส่วนใหญ่
และหาจุดยืนที่เป็นที่ยอมรับ
4. เตรียมคนให้เห็นคุณค่าของการดำรงรักษาวัฒนธรรมไทย
รู้จักผสมผสานวัฒนธรรมดั่งเดิมกับวัฒนธรรมใหม่ เพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติตน
มุ่งพัฒนาตนเองและสร้างสรรค์ความเจริญทางสังคม
ตลอดจนมุ่งพัฒนาจิตใจให้ยึดมั่นในศาสนาและหลักธรรม
มีคุณธรรมจริยธรรมอันจะนำไปสู่การมีชีวิตที่สงบสุข
5. เตรียมฝึกคนให้สามารถแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพและปัญหาต่าง
ๆ ในการดำรงชีวิตพร้อมทั้งสามารถเลือกแนวทางในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตให้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
7. ข้อมูลพื้นฐานจากนักวิชาการจากสาขาต่าง ๆ
ข้อมูลพื้นฐานจากนักวิชาการในวิชาสาขาต่าง
ๆ เป็นข้อมูลสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้ข้อมูลในการพัฒนาหลักสูตรสามารถคลอบคลุมความต้องการจำเป็นในการพัฒนาหลักสูตรได้อย่างกว้างขวาง
ข้อมูลดังกล่าวได้แก่ ข้อมูลจากนักวิชาการในวิชาสาขาต่าง ๆ นักการศึกษา
หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการใช้ผลผลิตของการจัดการศึกษา
คือสถานประกอบการที่จบการศึกษาเข้าไปสู่ หรืออาจจะเรียกข้อมูลจากสถานประกอบหรือตลาดแรงงานเป็นต้น
7.1 ข้อมูลจากนักวิชาการ นักวิชาการแต่ละสาขาที่มีความรู้
ความสามารถความชำนาญเฉพาะทางย่อมรู้ทฤษฎีหลักธรรมชาติโครงสร้าง
และระดับความยากง่ายของความรู้แต่ละศาสตร์ของตนเป็นอย่างดี
คณะพัฒนาหลักสูตรต้องปรึกษาและร่วมมือกับนักวิชาการเหล่านี้เกี่ยวกับการกำหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ในแต่ละสาขาวิชา
ในการกำหนดเนื้อหาวิชา ความกว้าง ความลึก
และความต่อเนื่องสัมพันธ์เนื้อหาในเรื่องการปฏิบัติการพัฒนาหลักสูตรของไทยยังขาดข้อมูลด้านนี้มาก
ทำให้เกิดการสูญเปล่าทางการศึกษานักวิชาการสาขาต่าง ๆ จึงน่าจะมีบทบาทในการพัฒนาหลักสูตรโดยร่วมเป็นคณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรในแต่ละสาขา
เพื่อสร้างหลักสูตรที่สมเหตุสมผลและสมจริงทางวิชาการ
7.2 ข้อมูลจากสถานประกอบการ เป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญที่นักพัฒนาหลักสูตรไม่สมควรมองข้าม
เพราะหลักสูตรจะต้องผลิตคนสู่สถานประกอบการต่าง ๆ ในสังคม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาหลักสูตรในระดับอาชีวศึกษา
ความต้องการของสถานประกอบการเป็นข้อมูลสำคัญที่นักพัฒนาหลักสูตรควรนำไปพิจารณา
เพื่อจัดหลักสูตรและการเรียนการสอนให้ผู้จบหลักสูตรสามารถเข้าไปสู่สถานประกอบการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
8. ข้อมูลพื้นฐานที่เกี่ยวกับโรงเรียน
ชุมชนหรือสังคมที่โรงเรียนตั้งอยู่
ข้อมูลที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ควรศึกษาวิเคราะห์
คือข้อมูลที่เกี่ยวกับสภาพทั่วไปของโรงเรียน เช่น
ข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนครูในโรงเรียน จำนวนอาคารสถานที่หรือห้องเรียนจำนวนอุปกรณ์และศักยภาพของโรงเรียนมากที่สุด
นอกจากนี้ข้อมูลเกี่ยวกับชุมชนและสภาพสังคมที่โรงเรียนตั้งอยู่ก็เป็นข้อมูลที่ผู้จัดทำหลักสูตรหรือพัฒนาหลักสูตรจะต้องศึกษา
เช่น สภาพแวดล้อมและสภาพภูมิศาสตร์ที่ตั้ง หรือสังคมโดยทั่วไปของผู้ใช้หลักสูตรหรือโรงเรียนนั้นเป็นอย่างไร
การสนับสนุนหรือความร่วมมือของชุมชนสังคมที่มีต่อโรงเรียนเป็นอย่างไร
ข้อมูลดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ในการจัดทำหลักสูตร เช่น การกำหนดวิชาเรียนต่าง ๆ
เพราะบางรายวิชาสภาพชุมชนและสังคมไม่สามารถเอื้ออำนวยหรือส่งเสริมเท่าที่ควร
การศึกษาก็ไม่บรรลุผล เพราะฉะนั้นการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียน ชุมชน
และสังคมที่โรงเรียนตั้งอยู่จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่ผู้จัดทำหลักสูตรต้องศึกษา
เพื่อให้ได้ข้อมูลมาจัดทำหลักสูตรที่โรงเรียนต่าง ๆ
สามารถนำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งข้อมูลต่าง ๆ
เหล่านี้สามารถค้นคว้าและหาข้อมูลได้จากเอกสารในการรายงานต่าง ๆ การสำรวจ สอบถาม
และการสัมภาษณ์บุคคลต่าง ๆ ตลอดจนข้อมูลเกี่ยวข้อง เช่น คนในชุมชน ผู้บริหาร ครู
นักเรียน ผู้ปกครอง ผู้ที่สำเร็จการศึกษา
ซึ่งการศึกษาข้อมูลดังกล่าวจำเป็นสำหรับการพัฒนาหลักสูตรทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติ
เพื่อให้ได้หลักสูตรที่ทุกโรงเรียนสามารถนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยเฉพาะหลักสูตรระดับท้องถิ่นข้อมูลดังกล่าวมีความสำคัญอย่างยิ่ง
ผู้พัฒนาหลักสูตรระดับท้องถิ่นจะต้องให้ความสำคัญเพื่อที่จะเสริมสร้างได้หลักสูตรที่เหมาะสมและตอบสนองต่อท้องถิ่นนั้น
ๆ ได้อย่างเต็มที่
9. ข้อมูลพื้นฐานทางประวัติศาสตร์และการศึกษาหลักสูตรเดิม
ประวัติศาสตร์มีความสำคัญต่อชีวิตและการกระทำในปัจจุบัน
ดังคำกล่าวที่ว่า ปัจจุบันผลของอดีตและอนาคตเป็นผลปัจจุบัน
เพราะฉะนั้นข้อมูลทางประวัติศาสตร์ และการศึกษาหลักสูตรในอดีตย่อมมีประโยชน์ต่อการจัดการศึกษาและการจัดทำหลักสูตรในปัจจุบัน
การศึกษาไทยกับประวัติศาสตร์ไทยมีความผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น
เพราะเหตุการณ์ในชาติย่อมมีผลกระทบต่อการศึกษาเสมอ
นักการศึกษาและนักพัฒนาหลักสูตรจึงจำเป็นต้องมีความรู้หรือข้อมูลศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชาติ
รวมทั้งประวัติศาสตร์ควบคู่กันไป
เพราะเราต้องอาศัยพื้นฐานทางประวัติศาสตร์มาช่วยในการจัดการศึกษาและพัฒนาหลักสูตรในปัจจุบัน
การศึกษาข้อมูลทางประวัติศาสตร์จะทำให้เราเห็นภาพรวมความเจริญของชาติทั้งทางด้านเศรษฐกิจ
สภาพแวดล้อม การเมือง และวัฒนธรรมในอดีตที่ผ่านมา รวมทั้งผลกระทบที่มีต่อการศึกษา
ซึ่งข้อมูลในส่วนนี้นักพัฒนาหลักสูตรต้องวิเคราะห์ว่าการจัดการศึกษาหรือการจัดหลักสูตรอย่างนั้นในสภาพเศรษฐกิจ
สังคม และการเมืองในขณะนั้นมีความถูกต้องและเหมาะสมมากน้อยเพียงใด
ส่วนใดเป็นลักษณะของการจัดการศึกษาหรือจัดหลักสูตรที่ดี
ส่วนใดเป็นลักษณะการจัดทำหลักสูตรที่ผิดพลาดแก่ผู้จัดทำหลักสูตร
การวิเคราะห์อดีตจะช่วยเพิ่มพูนความสามารถในการวิเคราะห์สภาพปัจจุบัน
การที่ต้องมีการวิเคราะห์หลักสูตรเก่าเนื่องจากในการพัฒนาหลักสูตรนั้น
เราตั้งต้นจากสิ่งที่เรามีอยู่หรือใช้อยู่
จุดประสงค์ของการวิเคราะห์ก็เพื่อตรวจสอบหลักสูตรที่ใช้อยู่นั้นดีหรือไม่อย่างไร
อะไรที่ดีอยู่แล้ว มีอะไรที่บกพร่อง ล้าสมัย
หรือไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้เรียนและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป จุดเด่น
จุดด้อย ข้อดี ข้อบกพร่องขององค์ประกอบต่างๆ
ของหลักสูตรทั้งในแง่ของประสิทธิภาพของการนำไปใช้
รวมทั้งความพึงพอใจของผู้ที่เกี่ยวข้อง
ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลในอดีตที่มีคุณค่าแก่การจัดทำหรือพัฒนาหลักสูตรปัจจุบัน
ในการศึกษาประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์การศึกษาควบคู่กันไปนั้น ธำรง บัวศรี (2532:128) ได้แสดงความคิดเห็นว่า หากลองตั้งคำถามต่างๆ
แล้วลองพิจารณาหาคำตอบจะช่วยให้เห็นความเหมาะสมของการจัดการศึกษาในขณะนั้น
ตัวอย่างคำถาม เช่น ปัญหาเศรษฐกิจสังคม
และการเมืองในขณะนั้นเป็นอย่างไร
การจัดการศึกษามีจุดมุ่งหมายจะแก้ไขปัญหาดังกล่าวหรือไม่ วิธีการที่ช่วยแก้ไขปัญหาช่วยได้หรือไม่
การจัดการศึกษามีส่วนช่วยให้ยกระดับเศรษฐกิจหรือทำให้ระบบสังคมดีขึ้นหรือไม่
มีสิ่งชี้บอกใดหรือไม่
ที่แสดงว่าหลักสูตรได้คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลหรือพัฒนาการของผู้เรียน
หลักสูตรได้ส่งเสริมการถ่ายทอดวัฒนธรรมหรือปรับปรุงวัฒนธรรมอย่างไร
หลักสูตรมีการส่งเสริมจิตสำนึกในการช่วยตนเองหรือไม่
เพราะฉะนั้นถ้านักพัฒนาหลักสูตรได้ศึกษาประวัติศาสตร์
และนำประวัติศาสตร์มาวิเคราะห์หาคำตอบจากคำถามเหล่านี้หรือคำถามอื่นที่มีประโยชน์เหมาะสมที่จะช่วยให้ได้คำตอบที่เป็นประโยชน์และเป็นข้อมูลในการจัดการศึกษาและพัฒนาหลักสูตรในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
ข้อมูลพื้นฐานเป็นข้อมูลในด้านต่าง ๆ ที่จำเป็นซึ่งนักพัฒนาหลักจะต้องศึกษาวิเคราะห์ และใช้ประกอบการพิจารณาในการสร้างหรือจัดทำหลักสูตรในทุกองค์ประกอบของหลักสูตร อันได้แก่ ข้อมูลทางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง การพัฒนาการทางเทคโนโลยี ประวัติศาสตร์การศึกษา
หลักสูตรเดิม
กิจกรรม (Activity)
2. แลกเปลี่ยนแนวคิดกับเพื่อนนักศึกษา หรือผู้รู้ เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนหลักสูตรการศึกษาของประเทศไทย ได้รับอิทธิพลหรือมีปัจจัยสำคัญใด
ตอบ 1. ปัจจัยด้านเทคโนโลยี ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีมีผลต่อการกำหนดคุณสมบัติและคุณภาพของแรงงานในอนาคต เทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีการขนส่ง เทคโนโลยีการผลิต นาโนเทคโนโลยี เทคโนโลยีชีวภาพ ฯลฯ มีความก้าวหน้าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้มีประโยชน์ในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ ดังนั้นการจัดการศึกษาจึงต้องมีการเพิ่มเติมความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในหลักสูตรการเรียนการสอน และปรับปรุงให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี
2. ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ปัจจัยทางเศรษฐกิจมีผลต่อตลาดแรงงานและตลาดการศึกษา เนื่องจากการกำหนดลักษณะของแรงงานที่ต้องการ อาทิ เศรษฐกิจใหม่ จะแข่งขันกันด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งต้องอาศัยการวิจัยและพัฒนา ดังนั้น การศึกษาต้องพัฒนาคนให้มีทักษะการทำวิจัย ให้สามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ที่มีคุณค่าต่อระบบเศรษฐกิจ การเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุน เกิดการเคลื่อนย้ายสินค้า และเงินลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น ประเทศต่าง ๆ ไม่เพียงแต่ต้องลดการกีดกันการแข่งขันเท่านั้น ยังต้องแข่งขันกันด้วยสินค้าที่มีคุณภาพ ซึ่งต้องอาศัยแรงงานที่มีฝีมือ มีทักษะความสามารถที่หลากหลาย เช่น ความรู้ด้านเทคโนโลยี ภาษาต่างประเทศ การบริหาร ฯลฯ ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้บริหารการศึกษาที่จะพัฒนาคนให้มีคุณภาพ
3. ปัจจัยด้านระบบราชการ การปฏิรูปการศึกษาที่ผ่านมาเคลื่อนไปอย่างยากลำบาก เนื่องด้วยระบบราชการเป็นอุปสรรค ซึ่งเกิดจาก ความล่าช้าในการประสานงาน เนื่องจากการทำงานตามระบบราชการไทย มักทำงานแบบต่างคนต่างทำไม่ไปในทิศเดียวกัน นอกจากนี้ ยังมีลักษณะของการรวมศูนย์ที่ส่วนกลางมากเกินไป การทำงานแบบราชการ ที่ยึดกฎระเบียบตายตัว ขาดความยืดหยุ่น และเอื้อต่อการปฏิบัติงานของผู้บริหารการศึกษาและครูบางส่วนที่ไม่ยอมปรับตัว
4. ปัจจัยด้านการเมือง กล่าวกันว่า การปฏิรูปหรือพัฒนาการจัดการศึกษาจะสำเร็จหรือล้มเหลว ขึ้นอยู่กับการเมืองมากกว่าแนวทางและวิธีการ แต่หากการเมืองไทยมีเงื่อนไขบางประการที่เป็นอุปสรรค จะส่งผลให้การปฏิรูปการศึกษาไทยไม่ก้าวหน้าหรือประสบความสำเร็จเท่าที่ควร อาทิ
2. แลกเปลี่ยนแนวคิดกับเพื่อนนักศึกษา หรือผู้รู้ เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนหลักสูตรการศึกษาของประเทศไทย ได้รับอิทธิพลหรือมีปัจจัยสำคัญใด
ตอบ 1. ปัจจัยด้านเทคโนโลยี ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีมีผลต่อการกำหนดคุณสมบัติและคุณภาพของแรงงานในอนาคต เทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีการขนส่ง เทคโนโลยีการผลิต นาโนเทคโนโลยี เทคโนโลยีชีวภาพ ฯลฯ มีความก้าวหน้าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้มีประโยชน์ในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ ดังนั้นการจัดการศึกษาจึงต้องมีการเพิ่มเติมความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในหลักสูตรการเรียนการสอน และปรับปรุงให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี
2. ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ปัจจัยทางเศรษฐกิจมีผลต่อตลาดแรงงานและตลาดการศึกษา เนื่องจากการกำหนดลักษณะของแรงงานที่ต้องการ อาทิ เศรษฐกิจใหม่ จะแข่งขันกันด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งต้องอาศัยการวิจัยและพัฒนา ดังนั้น การศึกษาต้องพัฒนาคนให้มีทักษะการทำวิจัย ให้สามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ที่มีคุณค่าต่อระบบเศรษฐกิจ การเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุน เกิดการเคลื่อนย้ายสินค้า และเงินลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น ประเทศต่าง ๆ ไม่เพียงแต่ต้องลดการกีดกันการแข่งขันเท่านั้น ยังต้องแข่งขันกันด้วยสินค้าที่มีคุณภาพ ซึ่งต้องอาศัยแรงงานที่มีฝีมือ มีทักษะความสามารถที่หลากหลาย เช่น ความรู้ด้านเทคโนโลยี ภาษาต่างประเทศ การบริหาร ฯลฯ ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้บริหารการศึกษาที่จะพัฒนาคนให้มีคุณภาพ
3. ปัจจัยด้านระบบราชการ การปฏิรูปการศึกษาที่ผ่านมาเคลื่อนไปอย่างยากลำบาก เนื่องด้วยระบบราชการเป็นอุปสรรค ซึ่งเกิดจาก ความล่าช้าในการประสานงาน เนื่องจากการทำงานตามระบบราชการไทย มักทำงานแบบต่างคนต่างทำไม่ไปในทิศเดียวกัน นอกจากนี้ ยังมีลักษณะของการรวมศูนย์ที่ส่วนกลางมากเกินไป การทำงานแบบราชการ ที่ยึดกฎระเบียบตายตัว ขาดความยืดหยุ่น และเอื้อต่อการปฏิบัติงานของผู้บริหารการศึกษาและครูบางส่วนที่ไม่ยอมปรับตัว
4. ปัจจัยด้านการเมือง กล่าวกันว่า การปฏิรูปหรือพัฒนาการจัดการศึกษาจะสำเร็จหรือล้มเหลว ขึ้นอยู่กับการเมืองมากกว่าแนวทางและวิธีการ แต่หากการเมืองไทยมีเงื่อนไขบางประการที่เป็นอุปสรรค จะส่งผลให้การปฏิรูปการศึกษาไทยไม่ก้าวหน้าหรือประสบความสำเร็จเท่าที่ควร อาทิ
การปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
(ศธ.) บ่อยครั้งทำให้การดำเนินนโยบายการพัฒนาการศึกษาไม่ต่อเนื่อง
โดยเฉพาะรัฐบาลทักษิณ มีการเปลี่ยนรัฐมนตรี ศธ. บ่อยมาก คนละ 9 เดือนโดยเฉลี่ย
นักการเมืองมอง ศธ. ว่า เป็นกระทรวงที่สร้างผลงานได้ยาก ตำแหน่ง รมว. ศธ.
จึงนำมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง อาทิ เป็นรางวัลแก่ผู้สนับสนุนพรรค
ผู้ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งจึงมิใช่ผู้มีความรู้ในด้านการศึกษาอย่างแท้จริง
ความไม่สอดคล้องของเป้าหมายของการจัดการศึกษากับเป้าหมายทางการเมืองเป้าหมายของนักการเมืองหลายคนคือ ต้องการคะแนนนิยม จึงมีนักการเมืองจำนวนไม่น้อยที่ไม่ดำเนินนโยบายที่ให้ผลในระยะยาว เนื่องจากเสี่ยงที่จะทำให้ตนเองไม่เป็นที่นิยมทางการเมือง ซึ่งนั่นหมายความรวมถึงนโยบายการศึกษา ดังนั้นนักการเมืองจึงเลือกดำเนินนโยบายที่เห็นผลในระยะสั้น เพื่อทำให้ตนเองได้รับเลือกตั้งเข้ามาอีกครั้ง อันเป็นอุปสรรคยิ่งต่อการพัฒนาการศึกษาไทย
5. ปัจจัยด้านวัฒนธรรม สังคมไทยมีเงื่อนไขทางวัฒนธรรมหลายประการ ที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาไทย ดังนี้
ขาดวัฒนธรรมการมีส่วนร่วม สังคมไทยในปัจจุบันขาดความเหนียวแน่น ขาดความร่วมแรงร่วมใจ คนในสังคมจึงมองการศึกษาว่าเป็นเรื่องของรัฐบาลไม่เกี่ยวกับตนเอง
ความไม่สอดคล้องของเป้าหมายของการจัดการศึกษากับเป้าหมายทางการเมืองเป้าหมายของนักการเมืองหลายคนคือ ต้องการคะแนนนิยม จึงมีนักการเมืองจำนวนไม่น้อยที่ไม่ดำเนินนโยบายที่ให้ผลในระยะยาว เนื่องจากเสี่ยงที่จะทำให้ตนเองไม่เป็นที่นิยมทางการเมือง ซึ่งนั่นหมายความรวมถึงนโยบายการศึกษา ดังนั้นนักการเมืองจึงเลือกดำเนินนโยบายที่เห็นผลในระยะสั้น เพื่อทำให้ตนเองได้รับเลือกตั้งเข้ามาอีกครั้ง อันเป็นอุปสรรคยิ่งต่อการพัฒนาการศึกษาไทย
5. ปัจจัยด้านวัฒนธรรม สังคมไทยมีเงื่อนไขทางวัฒนธรรมหลายประการ ที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาไทย ดังนี้
ขาดวัฒนธรรมการมีส่วนร่วม สังคมไทยในปัจจุบันขาดความเหนียวแน่น ขาดความร่วมแรงร่วมใจ คนในสังคมจึงมองการศึกษาว่าเป็นเรื่องของรัฐบาลไม่เกี่ยวกับตนเอง
รักความสนุกและความสบายคนไทยส่วนใหญ่สนใจความบันเทิงมากกว่าการแสวงหาความรู้
จึงเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษา
สังคมอุปถัมภ์ สังคมไทยยังมีลักษณะสังคมอุปถัมภ์
เห็นแก่พวกพ้องมากกว่าส่วนร่วม
ผู้ที่มีอำนาจมักแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเองและพวกพ้อง โดยที่ประชาชนไม่กล้าขัดขวาง
เพราะต้องพึ่งพาอาศัย ดังนั้น เมื่อมีการกระจายอำนาจทางการศึกษา
อาจกลายเป็นแหล่งผลประโยชน์ให้กับผู้มีอิทธิพลได้หากควบคุมไม่ดี
ขาดการเปิดกว้างทางความคิดและการรับฟังความเห็นของผู้อื่น สังคมไทยมีค่านิยมว่า
การมีความคิดที่แตกต่างหรือการเป็นแกะดำ เป็นสิ่งไม่ดี
มองผู้ที่คิดแตกต่างเป็นศัตรู
และพยายามหักล้างความคิดซึ่งมักกระทำโดยใช้อารมณ์มิได้ใช้เหตุผลเป็นที่ตั้ง
ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาผู้เรียนที่ปัจจุบันมุ่งสร้างคนให้คิดเป็นทำเป็น
ปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น
ล้วนเป็นปัจจัยหลักที่หน่วยงานกำหนดธงพัฒนาระบบการศึกษาไทย จะต้องให้ความสำคัญ
และนำไปใช้วิเคราะห์วางแผนกำหนดทิศทางและนโยบาย โดยเฉพาะปัจจัยด้านการเมือง
ซึ่งมีอิทธิพลมากต่อการพัฒนาการศึกษาไทย
เพราะหากแม้ว่าจะมีการขยับหรือพัฒนาปัจจัยอื่นมากเพียงใด แต่หากปัจจัยการเมืองไม่ถูกพัฒนาให้เอื้อต่อการจัดการศึกษา
ย่อมส่งผลให้การขยับหรือพัฒนาปัจจัยอื่นย่อมกระทำได้ยาก
และอาจไม่นำพาสู่ความสำเร็จได้ หากเปรียบเทียบให้ปัจจัยทางการเมือง
เปรียบเสมือนน้ำที่หล่อเลี้ยงให้ระบบการศึกษาไทยเติบโตงอกงามผลิดอกออกผลที่มีคุณภาพ
แต่หากขาดการหล่อเลี้ยงน้ำที่มากเพียงพอ ย่อมจะทำให้การจัดการศึกษาเหี่ยวเฉา
และไม่เจริญก้าวหน้า ดังนั้นการพัฒนาการจัดการศึกษาไทย
จึงขึ้นอยู่กับจุดยืนและภาวะของผู้นำประเทศและผู้นำกระทรวงศึกษาธิการที่ให้ความสำคัญ
ผลักดันและสนับสนุน ให้เกิดการขับเคลื่อนในการพัฒนาระบบการศึกษาไทย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น